บทที่๒ ครูกับการสื่อสารในชั้นเรียน


 
 ครูกับการสื่อสารในชั้นเรียน



การเรียนการสอนในห้องเรียนในปัจจุบันจะต้องมีการเปิดอภิปรายโดยนักเรียน และซักถามเป็นสิ่งที่จำเป็น การที่นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น ได้ทำกิจกรรม จะทำให้นักเรียนอยากเรียนรู้ด้วยตนเองมากยิ่งขึ้น ครูจะต้องหาเทคนิคที่จะสร้างบรรยากาศในห้องให้เป็นกันเองก่อนเพื่อนที่จะเอื้อให้นักเรียนกล้าอภิปราย กล้าซักถาม ซึ่งเทคนิคดังกล่าว ได้แก่ การเสริมแรง การให้คำติชม และเรื่องของบุคคลที่ถูกลืม 

การเสริมแรง 

การเสริมแรงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบ่งได้ ๒ อย่างคือการเสริมแรงในทางบวก เช่น การให้กำลังใจ การยอมรับความรู้สึก การยกย่องชมเชยและการเสริมแรงในทางลบ เช่น ครูไม่ยอมรับความรู้สึกของผู้เรียน ตำหนิ ดุ ประณาม เป็นต้น


การให้คำติและคำชม

ครูมักจะต้องติหรือชมนักเรียนอยู่ตลิดเวลาแต่บางครั้งในการตินั้นอาจจะแรงเกินไปโดยไปกระทบต่อจิตใจผู้เรียน น้อยคนที่จะยอมรับการตินั้นได้ ส่วนการชมนั้นจะมีผลทำให้ผู้เรียนเกิดความภาคภูมิใจ มีกำลังใจมากขึ้น

เรื่องของบุคคลที่ถูกลืม

 ในการสอนของครูทั่วไปมักจะอธิบายไปเรื่อยๆครูบางคนก็ไม่ได้สนใจผู้เรียนเท่าที่ควร ไม่เปิดโอกาสให้ถาม ทำให้เกิดความอึดอัดแก่ผู้เรียน ดันนั้นการเปิดโอกาสให้นักเรียนซักถามและควรรู้ว่าธรรมชาติของการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะของผู้เรียนนั้น สมาชิกของหมูคณะทุกคนจะได้ชื่อว่ามีส่วนร่วม สิ่งที่ครูจะต้องเอามาประยุกต์ใช้ก็คือ ผู้เป็นครูจะต้องมีความสนใจนักเรียนของตนในห้องเรียนอย่างทั่วถึง เป็นต้น

พัฒนาการด้านภาษาของนักเรียน

บุคคลย่อมมีความแตกต่างกันทั้งรูปร่างหน้าตาสีผิวหรือลักษณะทางกายภาพที่ปรากฏทั้งหมดซึ่งจะแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติเพศวัยอัตราความเจริญเติบโตระดับสติปัญญาหรือลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคลปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้บุคคลมีความแตกต่างกันในด้านต่าง ๆ รวมทั้งด้านภาษาด้วยยกตัวอย่างเช่นเด็กมักจะใช้ภาษาที่ง่าย ๆ สื่อความหมายได้ชัดเจน แต่ผู้ใหญ่อาจจะใช้ภาษาที่ฟังแล้วเข้าใจยากใช้คำศัพท์ที่เด็กไม่เคยได้ยินมาก่อนหรือใช้คำที่มีความหมายลึกซึ้งเป็นต้น

หลักในการสื่อภาษากับนักเรียน

หลังจากที่ทราบพัฒนาการด้านภาษาของนักเรียนแล้วในขนาดที่สื่อสารกับนักเรียนครูควรจะคำนึงถึงพัฒนาการด้านภาษาดังกว่าให้มาก แต่อย่างไรก็ตามครูจะต้องคำนึงด้วยว่าจะสื่อสารให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างไรไม่ใช่คำนึง แต่พัฒนาการด้านภาษาของนักเรียน แต่เพียงอย่างเดียวโดยละเลยหลักการติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพซึ่งในเรื่องนี้ได้ให้หลักในการติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพไว้ว่าต้องคำนึงถึงปัจจัย ๗ ประการ

๑. ความน่าเชื่อถือ (Credibility) การสื่อภาษาต้องเริ่มด้วยบรรยากาศแห่งความน่าเชื่อถือและสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นปรารถนาอย่างจริงจังของครูที่มีต่อนักเรียน

๒. ความเหมาะสมกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม (Context) การสื่อภาษานั้นจะต้องเหมาะสมกลมกลืนกับความเป็นจริงแห่งสภาพแวดล้อมเครื่องมือสื่อภาษาต่าง ๆ

๓. เนื้อหาสาระ (Content) ในการสื่อภาษานั้นเนื้อเนื้อหาสาระของสารจะต้องมีความหมายต่อนักเรียนเสมอและจะต้องสอดคล้องไม่ขัดแย้งต่อระบบค่านิยม (value system) เพราะโดยทั่วไปหากข่าวสารใดขัดแย้งต่อระบบค่านิยมความเชื่อถือหรือบรรทัดฐานของกลุ่ม (group norms) นักเรียนอาจไม่ปฏิบัติตามได้เพราะถ้าขัดขืนปฏิบัติอาจถูกปฏิเสธหรือไม่ได้รับการยอมรับจากสมาชิกอื่น ๆ

๔. ความชัดเจน (Clarity) ในการสื่อภาษานั้นข่าวสารจะต้องมีความชัดเจนโดยใช้ภาษาหรือถ้อยคำที่ง่าย ๆ เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนตรงกันทั้งครูและนักเรียน

๕. ความต่อเนื่องและความสม่ำเสมอ (Continuity and Consistency) การสื่อภาษาเป็นกระบวนการที่ไม่มีที่สิ้นสุดฉะนั้นการสื่อภาษาที่มีประสิทธิภาพจะต้องมีการย้ำเตือน (repetition) เพื่อให้ซึมซาบในจิตใจของนักเรียนเสมอข่าวสารที่สื่อออกไปจะต้องให้ทั้งข้อเท็จจริงและมทั้งต้องใช้ข่าวสารอย่างมั่นคงแน่นอนสม่ำเสมอด้วยทรรศนะความคิดเห็นรวมทั้งต้องใช้ข่าวสารอย่างมั่นคง

๖.ช่องทางในการสื่อสาร (Channels) ช่องทางในการสื่อสารภาษาคือตัวเชื่อมประสานระหว่างครูกับนักเรียนทำให้ครูกับนักเรียนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้การสื่อภาษาจึงต้องเลือกใช้ช่องทางในการสื่อภาษาอีกนัยหนึ่งก็คือเลือกช่องทางการรับส่งข่าวสารที่นักเรียนมีใช้อยู่หรือสามารถจะรับได้และมีความน่าเชื่อถือในช่องทางการสื่อภาษานั้น

๗. ขีดความสามารถของนักเรียน (Capability of student) ในการสื่อภาษานั้นครูจะต้องคำนึงถึงความสามารถของนักเรียนด้วยอันหมายรวมถึงทักษะในการสื่อสาร (Communication Skills) ฉะนั้นความคิดความสามารถในการใช้ภาษา (thought and language mpetence) อย่างมีทักษะจึงเป็นสิ่งสำคัญการสื่อภาษาจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด

การสื่อภาษาด้วยวัจนภาษา 

การใช้คำพูดเป็นสิ่งที่ครูใช้มากที่สุดในการเรียนการสอนหากครูทราบจิตวิทยาในการพูดกับนักเรียนแล้วก็จะทำให้เกิดผลดีหลายประการเช่นนักเรียนมีความชื่นชอบในตัวครูสามารถควบคุมชั้นเรียนได้นักเรียนเกิดการเรียนรู้หรือมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้นเป็นต้นดังนั้นครูควรจะคำนึงถึงการสื่อภาษากับนักเรียน



การสื่อภาษาด้วยอวัจนภาษา

การสื่อภาษาด้วยอวัจนภาษาที่จะกว่าถึงในหัวข้อนี้จะกว่าถึงอวัจนภาษาที่จะส่งผลให้นักเรียนเกิดความเชื่อถือและความศรัทธาในตัวครูมากกว่าการที่จะใช้อวัจนภาษาในการสื่อภาษากับนักเรียนเพื่อให้เกิดความเข้าใจเนื่องจากความน่าเชื่อถือของครูย่อมจะทำให้นักเรียนเกิดความรู้สึกที่ดีกับครูซึ่งจะส่งผลให้ ๆ ตามมาดังนั้นครูควรจะมีจิตวิทยาการสื่อภาษาด้วยอวัจนภาษาเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในเรื่องต่าง ๆ

การสื่อภาษาเพื่อการติชม

ในการเรียนการสอนครูย่อมต้องใช้การติชมเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของนักเรียนหรือผลงานที่นักเรียนแต่ละคนสร้างสรรค์ออกมาดังนั้นวิธีการพูดเพื่อติชมของครูต้องคำนึงถึงการใช้ภาษาให้มากเพราะบางครั้งอาจทำให้นักเรียนเสียกำลังใจได้

๑. ครูควรแสดงให้นักเรียนเห็นว่าที่ครูวิจารณ์นั้นเป็นเพราะหวังดีที่จะให้นักเรียนมีความเจริญงอกงามมิใช่เพื่อจะทำลายน้ำใจหรือมีอคติส่วนตัว
๒. คำวิจารณ์นั้นควรใช้คำพูดที่เข้าใจได้ชัดเจนว่าครูต้องการให้นักเรียนแก้ไขพฤติกรรมอะไร
๓.คำวิจารณ์นักเรียนนั้นไม่ควรใช้คำตำหนิตรง ๆ แต่ควรใช้คำพูดที่ให้นักเรียนมองเห็นพฤติกรรมของตน
๔. การให้คำตินั้นควรเป็นลักษณะการให้ข้อเสนอแนะไม่ใช่บังคับนักเรียน
๕ การให้คำติชมนั้นครูควรมีข้อมูลของนักเรียนผู้นั้นเพียงพอก่อนที่จะติ

๖.ในการติผู้อื่นนั้นผู้ติควรใช้ภาษาที่ผู้ฟังเข้าใจง่ายจะได้สื่อความเข้าใจให้ตรงกันเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด
๗.ควรชมด้วยความจริงใจถูกต้องตามความเป็นจริงไม่มากเกินไปจนทำให้นักเรียนจับได้ว่าครูไม่จริงใจ
๘.การให้คำชมไม่ควรพร่ำเพรื่อจนคำชมนั้นไร้ความหมายหรือด้อยคุณค่าไปการที่ครูมีจิตวิทยาการสื่อภาษาที่ดีย่อมจะทำให้นักเรียนมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาที่ดีด้วย
 




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น